Friday 28 October 2011

บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" วันที่ ๑-๑๐ ตุลาคม ๒๐๑๑

 
เกาะชายผ้าเหลือง (๑ ตุลาคม ๒๕๕๔)

เกาะชายผ้าเหลือง
เกาะชายผ้าเหลือง เป็นสำนวน มีความหมายว่า อาศัยบุญจากการบวชเป็นภิกษุของลูกช่วยให้พ้นบาป. สำนวนนี้มีที่มาจากเรื่อง สุบินกลอนสวด ซึ่งเล่าว่า สุบินมีพ่อแม่เป็นคนใจบาป พ่อตายไปแล้วและเป็นเปรตอยู่ สุบินบวชเป็นเณร วันหนึ่งพญายมให้ยมทูตออกตรวจโลกมนุษย์และได้มาพบแม่ของสุบินนอนหลับอยู่ จึงนำตัวมาสอบประวัติและพบว่า นางไม่เคยทำบุญเลย พญายมจึงสั่งให้ลงโทษ แต่ขณะที่ไฟนรกกำลังจะไหม้นางนั้นนางเห็นแสงไฟเหมือนจีวรของลูกที่บวชเป็นเณรอยู่ ทันใดนั้นก็มีดอกบัวผุดขึ้นมารับและไฟนรกก็ดับไป เพราะนางนึกเห็นผ้าเหลืองของลูกชายจึงพ้นจากโทษที่กำลังจะได้รับ และเมื่อสุบินได้บวชเป็นภิกษุก็ช่วยพ่อให้พ้นจากการเป็นเปรต. เรื่องของสุบินกุมารทำให้ผู้ชายไทยเชื่อว่าเมื่อตนบวชจะทำให้ได้กุศล และพ่อแม่ได้อาศัยกุศลนั้นจึงพ้นบาป เกิดเป็นคำกล่าวว่า ลูกบวชให้พ่อแม่ได้เกาะชายผ้าเหลือง
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
ตบะแตก (๒ ตุลาคม ๒๕๕๔)

ตบะแตก
ตบะ หมายถึง พิธีข่มกิเลสโดยทรมานตัว ผู้บำเพ็ญตบะคือฤๅษี. ตบะแตก หมายถึง บำเพ็ญตบะต่อไปไม่ได้เพราะทนสิ่งยั่วยวนไม่ไหว ปัจจุบันมักใช้หมายถึง สิ้นความอดทน หมดความอดกลั้น เช่น เขาตั้งใจว่าวันนี้จะทำรายงานให้เสร็จ แต่พอเพื่อนชวนหนักเข้าก็ตบะแตก เลิกทำรายงาน ออกไปดูหนังกับเพื่อน.
เรื่องเล่าเกี่ยวกับฤๅษีที่ตบะแตก ปรากฏอยู่ในวรรณคดีหลายเรื่อง เช่นในวรรณคดีสันสกฤตเรื่องมหาภารตะ ฤๅษีวิศวามิตรบำเพ็ญตบะนานเป็นพัน ๆ ปี จนมีบารมีมากแข่งกับพระอินทร์ได้. พระอินทร์จึงส่งนางอัปสรชื่อเมนกา (อ่านว่า เม-นะ -กา) ไปยั่วยวนจนบำเพ็ญตบะไม่ได้และได้นางเป็นภรรยา มีธิดาชื่อศกุนตลา. ต่อมาฤๅษีวิศวามิตรบำเพ็ญตบะอีก ๑,๐๐๐ ปี และพยายามข่มกิเลสไม่ยอมให้ตบะแตกอีก เมื่อพระอินทร์ส่งนางอัปสรชื่อนางรัมภามายั่วยวน ฤๅษีวิศวามิตรไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ จึงสาปนางให้กลายเป็นหินไปหมื่นปี
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
เอาการ-เอาเรื่อง-เอาอยู่ (๓ ตุลาคม ๒๕๕๔)

เอาการ-เอาเรื่อง-เอาอยู่
เอาการ แปลว่า มาก หนัก เช่น ระยะทางจากหมู่บ้านไปถึงตัวอำเภอไกลเอาการ อาจจะใช้ว่า เอาเรื่อง ก็ได้ มักใช้ในลักษณะปรารภแสดงความหนักใจเป็นต้น เช่น การขอคะแนนเสียงจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรายากเอาเรื่อง. นอกจากจะใช้ว่า เอาการ หรือ เอาเรื่อง แล้ว อาจใช้ว่า เอาอยู่ แปลว่า หนักทีเดียว เช่น เด็กคนนี้ฤทธิ์มากเอาอยู่ ต้องควบคุมให้ดี.
คำว่า เอาอยู่ อีกความหมายหนึ่ง แปลว่า ปกครองได้ ควบคุมได้ ดูแลได้ รักษาได้ เช่น การจลาจลในประเทศนั้น รัฐบาลเอาอยู่. ชายคนรักของเธอเจ้าชู้มากแต่เธอก็เอาอยู่.คนไข้อาการหนัก แต่หมอก็เอาอยู่. และในทางปฏิเสธจะใช้ว่า เอาไม่อยู่ เช่น น้ำเหนือไหลแรงมาก จนชาวบ้านเอาไม่อยู่.
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
เลือดอุ่น-เลือดเย็น (๔ ตุลาคม ๒๕๕๔)

เลือดอุ่น-เลือดเย็น
คำว่า เลือดอุ่น เลือดเย็น เป็นคำแบ่งประเภทของสัตว์ตามอุณหภูมิของร่างกาย เป็นสัตว์เลือดอุ่นและสัตว์เลือดเย็น
สัตว์เลือดอุ่น คือ สัตว์ที่มีอุณหภูมิของร่างกายอุ่นและคงที่ เพราะร่างกายมีกลไกควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าอุณหภูมิภายนอกจะหนาวเย็นหรือร้อนเพียงใดก็ตาม สัตว์เลือดอุ่น มี ๒ กลุ่มใหญ่ ได้แก่สัตว์ปีกกลุ่มหนึ่งและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกกลุ่มหนึ่ง. สัตว์ปีก คือ นก เป็ด ไก่ เป็นต้น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม คือ คน ช้าง แมวน้ำ ปลาวาฬ ปลาโลมา พะยูน สุนัข เป็นต้น
สัตว์เลือดเย็น คือ สัตว์ที่มีอุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปตามอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ จึงสามารถอยู่ได้ทั้งในที่ที่มีอากาศร้อนและอากาศเย็น เช่น ปลา กบ อึ่งอ่าง คางคก งู ตุ๊กแก สัตว์เลือดเย็นสามารถปรับอุณหภูมิของตนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมได้
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
เลือดร้อน-เลือดเย็น (๕ ตุลาคม ๒๕๕๔)

เลือดร้อน-เลือดเย็น
คำว่า เลือดร้อน ใช้เป็นคำแสดงอารมณ์ อารมณ์ร้อน โกรธง่าย โมโหง่าย เช่น เขาเป็นคนเลือดร้อนถูกเพื่อนล้อนิดเดียว ก็ชกเพื่อนจนปากแตก. หนุ่มเลือดร้อนคนนั้นเอาเหล้าสาดหน้าคนที่เหยียบเท้า ทำให้งานเลี้ยงเกิดความชุลมุนวุ่นวาย.
คำว่า เลือดเย็น ใช้เป็นคำแสดงลักษณะจิตใจที่โหดเหี้ยม ร้ายลึก สามารถทำลายชีวิต หรือชื่อเสียงของผู้อื่นได้โดยไม่รู้สึกหวั่นไหว เช่น เขาเป็นคนเลือดเย็น หลอกผู้หญิงไปขายตัวได้อย่างไม่รู้สึกสงสาร เขาฆ่าผู้หญิงที่นอกใจเขาได้อย่างเลือดเย็น. ผู้หญิงคนนี้เลือดเย็นเอายาพิษผสมในอาหารให้สามีกินทุกวันจนตาย.
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
อุกกาบาต-อุกลาบาต-อุลกมณี (๖ ตุลาคม ๒๕๕๔)

อุกกาบาต-อุกลาบาต-อุลกมณี
อุกกาบาต (อ่านว่า อุก-กา-บาด) เป็นคำที่มาจากภาษาบาลีว่า อุกฺกา (อ่านว่า อุก-กา) แปลว่า คบเพลิง และ ปาต (อ่านว่า ปา-ตะ) แปลว่า ที่ตกลงมา. คำว่า อุกกาบาต ใช้เรียกเทหวัตถุแข็งจากอวกาศชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยหินเป็นส่วนใหญ่ อีกชนิดหนึ่งประกอบด้วยเหล็กเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเคลื่อนที่ผ่านบรรยากาศสู่ผิวโลก จะเสียดสีกับอากาศจนเกิดความร้อนเป็นไฟลุกไหม้สว่างจ้าพุ่งเป็นทาง เรียกว่าผีพุ่งไต้หรือดาวตก ถ้ามีขนาดเล็กจะไหม้หมดก่อนถึงผิวโลก ถ้ามีขนาดใหญ่ก็จะตกถึงผิวโลก เรียกว่าอุกกาบาต
คำว่า อุกกาบาต บางทีก็ใช้ว่า อุกลาบาต (อ่านว่า อุ-กะ-ลา-บาต) ซึ่งเลือนมาจากคำสันสกฤตว่า อุลฺกาปาต (อ่านว่า อุน-ละ -กา-ปา-ตะ) มีความหมายเดียวกับคำว่า อุกกาบาต ในภาษาบาลี
นอกจากนั้นในภาษาไทยยังมีคำว่า อุลกมณี (อ่านว่า อุน-ละ -กะ-มะ -นี) ซึ่งใช้เรียกเศษอุกกาบาตที่ตกสู่ผิวโลก และนำมาเจียระไนทำเป็นเครื่องประดับ เชื่อกันว่าเป็นเครื่องรางของขลังอย่างหนึ่ง
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
ตีนกา-ตีนครุ (๗ ตุลาคม ๒๕๕๔)

ตีนกา-ตีนครุ
คำว่า ตีนกา ใช้เรียกสิ่งที่มีลักษณะเหมือนตีนของอีกา คือเป็นเครื่องหมายกากบาทอย่างเครื่องหมายบวก โบราณใช้เป็นเครื่องหมายบอกมาตราเงินและมาตราชั่ง เมื่อบอกมาตราเงิน จะแสดงมาตราเงินเป็นชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง และไพ. ตัวเลขที่เป็นหลักชั่งอยู่บนปลายเส้นดิ่ง เฉียงลงมาที่มุมซ้ายบนเป็นหลักตำลึง ไปทางขวาเป็นหลักบาท ลงมาที่มุมขวาล่างเป็นหลักสลึง ต่อมาที่มุมซ้ายล่างเป็นหลักเฟื้อง และที่ปลายล่างของเส้นดิ่งเป็นหลักไพ
เมื่อเป็นมาตราชั่ง ก็แสดงน้ำหนักเป็นชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ เช่นเดียวกับมาตราเงิน. ปัจจุบันแพทย์แผนไทยยังใช้เครื่องหมายตีนกาเป็นมาตราชั่งเครื่องยาไทยอยู่. คำว่า ตีนกา ตามความหมายนี้ เรียกอีกอย่างว่า ตีนครุ (อ่านว่า ตีน-คฺรุ)
ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

<><> <><> <><> <><> <><> <><> <><> <><> <><> <><>

ตีนกา-กากบาท

คำว่า ตีนกา ใช้เรียกสิ่งที่มีลักษณะเหมือนตีนของอีกา คือเส้น ๒ เส้นตัดกัน จะตัดกันเป็นแนวดิ่งกับแนวระนาบ หรือตัดกันเป็นแนวเฉียงก็ได้ ใช้เรียกเครื่องหมายคูณ (x) และใช้เป็นคำเรียกเครื่องหมายกากบาท อย่าง เครื่องหมายบวก (+) หรือไม้จัตวา ( ๋ ) รวมทั้งใช้เรียกช่องอิฐโปร่งหรือที่ก่อเป็นช่องลึกรูปกากบาทใต้แนวใบเสมาของกำแพงเมืองหรือกำแพงวังว่า ช่องตีนกา. นอกจากนี้ไส้เทียนที่แยกออกเป็น ๓ แฉก บรรจุในกระทงสายหรือผางประทีปก่อนเทขี้ผึ้งทับ ก็เรียกว่า ไส้ตีนกา

คำว่า ตีนกา อีกความหมายหนึ่ง ใช้เรียกรอยย่นซึ่งปรากฏที่หางตาของคนเมื่อมีอายุมากและผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น เช่น เขาใช้เครื่องสำอางปิดบังรอยตีนกา

นอกจากนี้ คำว่า ตีนกา ยังใช้เป็นชื่อหญ้าชนิดหนึ่ง ลำต้นแบน ช่อดอกเป็นก้านเดียว ปลายก้านแตกเป็นแขนงสั้น ๆ ๔-๕ แขนง ดูคล้ายตีนอีกา ใช้ทำยาได้ เรียกอีกอย่างว่า หญ้าปากคอก.

ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.


<><> <><> <><> <><> <><>

ราชรถมาเกย (๙ ตุลาคม ๒๕๕๔)



<><> <><> <><> <><> <><> <><> <><> <><> <><> <><>

ราชรถมาเกย

ราชรถมาเกย เป็นสำนวนหมายความว่า ได้รับโชคลาภหรือตำแหน่งสำคัญโดยไม่รู้ตัว เช่น อยู่ดี ๆ ท่านอธิบดีก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต รองอธิบดีก็มีเรื่องพัวพันกับการทุจริต เขาจึงได้เลื่อนเป็นอธิบดีแทน ราชรถมาเกยโดยไม่ทันรู้ตัวเลย. สำนวนราชรถมาเกยเป็นสำนวนที่มาจากประเพณีการปฏิบัติในสมัยโบราณ เมื่อพระมหากษัตริย์สิ้นพระชนม์โดยที่ยังไม่มีผู้สืบราชสมบัติ ไม่มีพระราชโอรสหรือพระยุพราช ตามธรรมเนียมขุนนางข้าราชการทั้งหลายจะพร้อมใจกันเสี่ยงราชรถ คือจัดรถพระที่นั่งผูกม้าแล้วปล่อยไปเพื่อเสี่ยงทาย ม้านำรถไปหยุดอยู่ตรงผู้ใด ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีบุญซึ่งเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองเลือกให้มาเป็นพระมหากษัตริย์ ขุนนางข้าราชการทั้งหลายก็จะเชิญผู้นั้นให้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป เรียกเป็นสำนวนว่า ราชรถมาเกย.

ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.


<><> <><> <><> <><> <><>

ตีท้ายครัว (๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔)




<><> <><> <><> <><>

ตีท้ายครัว

ตีท้ายครัว เป็นสำนวนมีความหมายว่า เข้าติดต่อตีสนิทในทางชู้สาวกับภรรยาของผู้อื่น เช่น แกเข้าไปตีท้ายครัวเจ้านาย ระวังนะถ้าเขาจับได้ แกอาจจะถูกเก็บ. ในบ้านเรือนของคนไทย ครัวมักจะอยู่หลังบ้าน ผู้ที่ทำครัวมักเป็นภรรยาของเจ้าของบ้าน ภรรยาจึงมีสิทธิ์เด็ดขาดอยู่ในครัว คนที่มาติดต่อกับเจ้าของบ้านจะเข้าทางหน้าบ้าน ส่วนคนที่มาเข้าทางหลังบ้านติดต่อกับภรรยาในครัวจึงเป็นการติดต่อที่ไม่ถูกต้อง คือ ติดต่อเป็นชู้กับภรรยานั่นเอง การเข้าบ้านผู้อื่นถ้าเจ้าของบ้านไม่อนุญาต เรียกว่า บุกรุก ถ้าเจ้าของบ้านอนุญาตหรือเชื้อเชิญเข้าไปจะเป็นแขก ผู้ที่เป็นแขกอาจเข้าบ้านไปเพื่อเยี่ยมเยียนไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ หรือติดต่อการงานอื่น ๆ เจ้าของบ้านจะรับรองแขกที่ห้องรับแขก คนที่จะเข้าในครัวได้จะต้องมีความสนิทสนมกับเจ้าของบ้านเป็นพิเศษ ผู้ชายที่เข้าไปมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับภรรยาเจ้าของบ้านจึงใช้เป็นสำนวนว่า ตีท้ายครัว

ที่มา : บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

Tuesday 27 September 2011

ខ្មែរប្រើថៃខ្ចី-เขมรใช้ไทยยืม

ខ្មែរប្រើថៃខ្ចី-เขมรใช้ไทยยืม

เมื่อช่วงวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา มีโอกาสอ่านหนังสือ "เขมรใช้ ไทยยืม" ผลงานของ อ.ศานติ ภักดีคำ ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยคำยืมภาษาเขมรในภาษาไทย และได้รับความรู้ใหม่ๆ มากมาย จึงขออนุญาตคัดลอกเนื้อหาบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังดังนี้

"
จังหวัด" เป็นคำภาษาเขมรที่ไทยยืมมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ ในภาษาไทยที่ใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จังหวัด มีความหมายว่า บริเวณ หรือ เขต

แต่ในภาษาไทยปัจจุบัน จังหวัด หมายถึง หน่วยการปกครองส่วนภูมิภาคโดยรวมหลายอำเภอ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารสูงสุด

คำว่า จังหวัด ที่ใช้ในภาษาไทยดังกล่าวมานี้เป็นคำยืมมาจากภาษาเขมรโบราณว่า จงฺวต หรือ จงฺวาต เป็นคำนาม หมายถึง การล้อมรอบ, วง, ขอบเขต, เขตแดน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า คำว่า จังหวัด ในภาษาไทยที่ใช้ในเอกสารโบราณมีความใกล้เคียงกับภาษาเขมรโบราณมาก แต่ต่อมาเมื่อมีการนำมาใช้ในสมัยหลังได้เปลี่ยนความหมายไป หมายถึง หน่วยการปกครอง "จังหวัด" เท่านั้น

"
จำเลย" เป็นอีกคำหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากในภาษาไทยมีการใช้ในความหมายที่ต่างกัน ความหมายแรกน่าจะเป็นความหมายโบราณ หมายถึง เฉลย, การตอบ ซึ่งเป็นคำยืมภาษาเขมรจากคำว่า จมฺเลย ออกเสียงว่า จ็อมเลย แปลว่า คำตอบ

สำหรับความหมายที่สองของคำว่า จำเลย เป็นคำที่ใช้ในภาษากฎหมาย หมายถึง ผู้ถูกฟ้องความในศาล เป็นความหมายที่กลายมาจากคำยืมภาษาเขมร คือคำว่า จมฺเลย ที่แปลว่า คำตอบ เช่นเดียวกัน แต่นำมาใช้ในความหมายว่า ผู้ตอบ (คำถาม) นั่นเอง

"
ชนะ" เป็นคำยืมภาษาเขมรอีกคำหนึ่งที่เราใช้กันจนคิดว่าเป็นคำภาษาไทยแท้ ทั้งนี้ เนื่องจากในสมัยโบราณ คำว่า แพ้ ในภาษาไทยหมายถึง ชนะ ส่วนคำว่า พ่าย จึงหมายถึง แพ้

ต่อมาเมื่อภาษาไทยรับเอาคำว่า ชนะ เข้ามาใช้ ความหมายของคำว่า แพ้ ที่เคยหมายถึง ชนะ จึงกลายเป็นความหมายว่า แพ้

คำว่า ชนะ เป็นคำที่ภาษาไทยน่าจะรับมาจากภาษาเขมรโบราณ เนื่องจากในภาษาเขมรโบราณมีรูปเขียนเหมือนภาษาไทยปัจจุบันคือ ชฺนะ หากแต่ภาษาเขมรปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปแบบการสะกดเป็น ฌฺนะ หมายถึง ชนะ

ดังนั้น จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า คำนี้เป็นคำที่ภาษาไทยยืมมาใช้จากรูปเขียนของภาษาเขมรโบราณ

"
เชลย" เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ที่ถูกข้าศึกจับตัวได้ คำนี้เป็นคำยืมภาษาเขมรจากคำว่า เฌฺลีย ออกเสียงว่า เฌฺลย ในภาษาเขมรมี 2 ความหมาย

ความหมายแรกเป็นความหมายเดียวกับที่ใช้ในภาษาไทย เป็นคำนาม แปลว่า เชลย, ผู้ที่ถูกจับได้ในการรบ, สัตว์ที่ต่อมา ส่วนความหมายที่สองหมายถึง ป่าเถื่อน, ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

"
วังเวง" ที่ใช้ในภาษาไทยหมายถึง ลักษณะทางอารมณ์อย่างหนึ่งในขณะที่อยู่ท่ามกลางความสงบหรือเปล่าเปลี่ยวใจ

คำนี้เป็นคำยืมจากภาษาเขมรว่า วงฺเวง ออกเสียงว่า ว็วงเวง เป็นคำกริยาแปลว่า หลง, หลงทาง
ที่มา นหังสือ เขมรใช้ไทยยืม ของ อ.ศานติ ภักดีคำ